ความสัมพันธ์ สหรัฐ-อิหร่าน สั่นคลอน หลังสังหารนายพล

ความสัมพันธ์ สหรัฐ-อิหร่าน สั่นคลอน หลังสังหารนายพล

จากกรณี ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ได้สั่งสังหาร นายพล โซเลมานี ของอิหร่าน ด้วยโดรนจนเสียชีวิต จากนั้นอิหร่านได้ชักธงแดงขึ้นเพื่อแสดงการตอบโต้ อันทำให้ความสัมพันธระหว่างสองประเทศ สั่นคลอน นอกจากนี้มีการตั้งค่าหัวนายโดนัลด์ ทรัมป์ กว่า 80 ล้านดอลล่าห์สหรัฐ และในงานศพของนายพล โซเลมานี มีชาวอิหร่านเข้าร่วมเนืองแน่นเกือบล้านคน ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เมื่อวันที่5 ม.ค. 63 รศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี หัวหน้าภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่สั่นคลอนของประเทศ สหรัฐอเมริกาและอิหร่านในประวัติศาสตร์ ว่า ประธานาธิบดีบางคนใช้อำนาจทางการทหารนอกเหนือขอบเขตที่รัฐธรรมนูญกำหนด เช่น Abraham Lincoln สั่งระงับไม่ให้ผู้ถูกคุมขังต้องถูกนำตัวมายังศาล (habeas corpus) เป็นการชั่วคราวในระหว่างสงครามกลางเมือง หรือ Franklin D. Roosevelt กักขังชาวญี่ปุ่นในสหรัฐอเมริการะหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และ George W. Bush ใช้เครื่องดักฟังประชาชน และทรมานผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย หลังเหตุการณ์ 9/11

หลังถูกโจมตีเมื่อ 9/11 นั่นเอง ที่สภาคองเกรสได้เห็นชอบขยายอำนาจประธานาธิบดี ในการใช้กำลังทหาร (an authorization for use of military force –the 2001 AUMF) เพื่อต่อต้านผู้วางแผน กระทำการ หรือ ให้ความช่วยเหลือการก่อการร้ายที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 911

สหรัฐประกาศสงครามครั้งหลังสุด คือ สงครามโลกครั้งที่สอง (หลังจากที่ถูกญี่ปุ่นโจมตี Pearl Harbor) หลังจากนั้น ประธานาธิบดีสหรัฐเลือกที่จะขอให้สภาคองเกรสอนุมัติการใช้กำลังทางทหาร โดยไม่ประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ

ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐ ประธานาธิบดีเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพ แต่อำนาจในการประกาศสงคราม (the power to declare war) และอนุมัติงบประมาณในการปฏิบัติการทางทหาร เป็นของสภาคองเกรส

ถึงแม้ Obama จะมั่นใจในแสนยานุภาพทั้งทางทหาร และ เศรษฐกิจที่เหนือกว่าอิหร่านมาก แต่ตระหนักถึงความมุ่งมั่น ศักดิ์ศรี ศรัทธา และความเข้มข้นในผลประโยชน์ของอิหร่านต่อภูมิภาคตะวันออกกลาง จึงเลือกตอบโต้แบบหลบหลีก เลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรง (the spiral model)

แต่ดูเหมือนประธานาธิบดี Trump อาจประเมินพลาด เพราะอิหร่านเพิ่งนำธงแดงขึ้นเหนือยอดโดมศักดิ์สิทธิ์ของมัสยิด Jamkarān อันเป็นสัญญลักษณ์ของการแก้แค้นต่อความอยุติธรรม ด้วยเลือดตรงกันข้าม ปฎิบัติการโดรนสังหารนายพล Qassem Soleimani ในครั้งนี้ ซึ่งได้รับการอธิบายจากกระทรวงกลาโหม และประธานาธิบดี Trump ว่า เป็นความจำเป็นในการป้องปรามภัยคุกคามอันใหญ่หลวง ต่อบุคลากรของสหรัฐที่ปฎิบัติการในอิรัค เป็นการใช้ “the deterrence model” กล่าวคือ ใช้กำลังรุนแรง เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้ฝ่ายตรงข้ามที่เชื่อว่ามีศักยภาพต่ำกว่าสยบยอม ไม่ให้กล้าโงหัวขึ้นมาสู้

อิหร่านตั้งค่าหัวทรัมป์2.41 พันล้าน เหตุสั่งสังหารพลตรีซูลีมานี

อิหร่านตั้งค่าหัวทรัมป์2.41 พันล้าน เหตุสั่งสังหารพลตรีซูลีมานี ขู่โจมตีนำเนียบข่าวได้ตลอด

จากกรณี ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งสังหาร พลตรี ซูลีมานี วัย 62 ปี ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษคุดส์ สังกัดกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน (Revolutionary Guard Corps) เมื่อวันที่ 3 มกราคม ที่ผ่านมา ซึ่งหลายฝ่ายอาจกังวลว่าจะเป็นชนวนไปสู่สงครามระหว่างสองประเทศ และอาจเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3

เป็นบุคคลสำคัญของประเทศอิหร่าน ถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษในปี 1998 พลตรี ซูลีมานีเป็นผู้บัญชาการกองกำลังกุดส์ กองกำลังสำคัญของกองทัพพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน มีบทบาทสำคัญในการวางแผนทางการทหารทั่วตะวันออกกลาง อิหร่านได้เปิดเผยว่า กองกำลังกุดส์มีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำกองกำลังที่จงรักภักดีกับบาชาร์ อัล-อัสซาด ประธานาธิบดีซีเรียที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนาน รวมถึงกองกำลังติดอาวุธมุสลิมชีอะห์หลายพันคนในต่อสู้ขับไล่กลุ่มก่อการร้ายไอเอสในอิรัก

โดยผู้นำชาวอิหร่านได้กล่าวว่า”เราสามารถโจมตีทำเนียบขาวได้ เราสามารถตอบโต้ชาวอเมริกันบนผืนดินของพวกเขาได้ เรามีพละกำลัง ตามพระประสงค์ของพระเจ้า เราจะตอบโต้ในเวลาที่เหมาะสมที่สุด เมื่อมีใครประกาศสงคราม คุณจะตอบโต้พวกเขาด้วยดอกไม้เหรอ เขาจะได้ยิงหัวให้น่ะสิ”

อาฟเตอร์ช็อกดังกล่าวส่งผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประเทศอิรัก มีผู้เข้าร่วมประชุม 180 คน จาก 329 คน มีมติให้กองกำลังทหารของประเทศสหรัฐอเมริกา ออกไปจากอิรัก สำนักข่าว Iranian Labour News Agency ยังได้รายงานด้วยว่า หนึ่งในสมาชิกรัฐสภา ประกาศพร้อมถล่มทำเนียบขาวได้ทุกเมื่อ

ทั้งนี้ อิหร่านได้เรียกร้องให้ประชาชนช่าวอิหร่าน 80 กว่าล้านคน ช่วยกันบริจาคเงินคนละ 1 ดอลลาร์ เพื่อระดมทุนเป็นเงินค่าหัวนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งหากทำสำเร็จ จะได้เงินค่าหัวถึง 80 ล้านเหรียญ

แผ่นดินไหว – 7 ม.ค. กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเรื่อง แผ่นดินไหวที่ Northern Sumatra อินโดนีเซีย ว่า เวลา 13.05 น. เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.2 ความลึก 10 กิโลเมตร จุดศูนย์กลางอยู่บริเวณทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย ที่ละติจูด 2.40 องศาเหนือ ลองจิจูด 96.35 องศาตะวันออก ห่าง อ.เมือง จ.สตูล ประมาณ 629 กิโลเมตร

สำหรับคนที่ยังอยู่รอดปลอดภัยมาจนซีซั่นนี้ได้ ขอให้มีกำลังใจ ดำเนินชีวิต ทำมาค้าขาย ศึกษาเล่าเรียน อย่างมีสติ ป้องกันตัวเสมอ การใส่หน้ากากสำคัญมาก ยังไม่ใช่เวลาถอดทิ้งครับ ด้วยสภาพสังคมปัจจุบันที่มีความเสี่ยงสูง ควรใส่หน้ากากเสมอเวลาออกนอกบ้านให้คุ้นชิน เป็นอวัยวะที่ 33 ของร่างกายเรา จะช่วยลดความเสี่ยงไปได้มาก”

Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป